วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรารู้สึกมีค่ามากขึ้น หลังจากที่มีประสบการณ์อกหัก
และประสบการณ์ล้มเหลวในชีวิต เรียก ช่วงมรสุม
เมื่อผ่านช่วงมรสุม และเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในทุกๆวัน
ก็รู้สึกว่า เราสามารถใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีสุขได้
ช่วงที่อารมณ์มั่นคง จะมีความพอใจในชีวิต
และพอใจในตัวเองมากกว่าช่วงเวลาที่อารมณ์ไม่มั่นคง

เรารู้สึกโชคดีที่ตัวเองได้มีประสบการณ์ล้มเหลวเร็วกว่าคนอื่น
ถึงแม้ว่าชีวิตเราในตอนนี้จะล่าช้า และเดินตามหลังเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก
แต่เราก็ได้ประสบการณ์ที่เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนยังไม่ค้นพบ
และเราเชื่อว่า หากค้นพบช้ากว่านี้ มันจะต้องหนักหนายิ่งใหญ่กว่าแน่
เพราะคนเรายิ่งนานวัน กิเลสในเรื่องตัวตนยิ่งมากจนน่ารังเกียจได้
(แต่เรื่องนี้ ถ้าพิจารณาตัวเองบ่อยก็จะช่วยได้)

เราในตอนนี้เป็นเพียงนักเรียนที่เกเรไม่ยอมทำงานส่งครู
หรือเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ไม่ยอมรับการรักษา
ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันทำงานเลื่อนขั้นเป็นเจ้านายกันหมด
มันทำให้เราท้อและมองตัวเองตกต่ำลงไปมาก
เราไม่กล้าสู้หน้าเพื่อน เพราะเราจะเผลอเปรียบเทียบตัวเองไป
ทำให้ต้องตัดขาดจากสังคมเพื่อนที่เคยเฮฮาปาร์ตี้

น่าแปลกที่งานเพียงแค่ชิ้นเดียวทำให้เราถึงกับทรุด
เรื่องที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยในสายตาคนอื่น ไม่น่าเชื่อ
คนที่ตั้งใจเรียนและทำคะแนนได้ดีมาตลอดอย่างเรา
จะแก้งานไม่ผ่าน  ความจริงก็ไม่เชิงหรอก
เรียกว่า ไม่มีงานส่งเลยมากกว่า
จะว่ายังไงดี ไม่มีแรงกระตุ้นให้ทำงานส่งครูเลย

เมื่อก่อนไปโรงเรียน  เราชอบมาก เพราะได้เล่นสนุก
การเรียนบางวิชาก็เป็นเรื่องสนุก  บางวิชาก็งั้นๆ
แต่วิชาที่ยากจนท้อก็มี แต่เพราะมีเพื่อนเลยไม่กลัวไง
แต่พอไม่มีเพื่อนแล้ว  เราก็ทำอะไรไม่ได้
เราอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่เราควรจะเป็นในตอนนี้คือ ทำงานแบบวัยผู้ใหญ่ทั่วไป
แต่ความเป็นจริงคือ เรายังเล่นสนุกและอยู่ในวัยสับสน
เรารู้สึกกลัวการเป็นคนวัยทำงานนิดๆนะ กลัวน่าเบื่อ
แต่เราก็เป็นคนเบื่องานอยู่แล้ว  ไม่ทำจะยิ่งน่าเบื่อนะ

อยากกระตุ้นตัวเองให้มีความตั้งใจทำงานส่งครูนะ
แต่ก็อยากเขียนนิยายเรื่องแรกให้จบก่อน
ความจริงอย่างหลังดูใกล้ความจริงขึ้นมาบ้างนะ
แต่ก็ยังมีความเฉื่อยเนือยที่ดูเหมือนจะขี้เกียจอยู่มาก
เราอยากทำเพื่อให้มีความภาคภูมิในตัวเองมากขึ้น
เพราะเรารู้สึกไร้เรี่ยวแรง  ไร้พละกำลังอย่างยิ่ง
การเขียนเท่านั้นที่ช่วยให้เรามีความพอใจในชีวิต
 
แต่การเขียนที่ผิดพลาดและล้มเหลวก็ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
เช่นเดียวกับการพูดที่ยอดแย่ห่วยแตกก็ประทับอย่างแน่นหนา
ความรู้สึกผืดพลาดอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกัน
เป็นช่วงที่เรามีปัญหาด้านความรัก และปัญหาเรื่องอนาคต
โค้งสุดท้ายของมหาลัยเป็นอะไรที่ควรจะสวยสดงดงาม
เราควรจะประทับความทรงจำที่ดีไปตลอดชีวิต
แต่ก็มาพังทลายลงด้วยความมืดแปดด้าน
ความมืดมนที่มองไม่เห็นอะไร แม้แต่ตัวเอง
คนที่ท้าทายอำนาจของผู้ใหญ่ไม่สมควรได้รับสิ่งที่ดี
เราไม่คิดหาที่พึ่งใดใด  ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร
ต้องการแค่จมลงไปในความมืด เหมือนจำศีลอยู่ในหลุมลึก

จนเมื่อรู้สึกตัว และคิดหาทางแก้ปัญหาให้กับตัวเอง
มันก็สายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดนั้นได้
เรามีตราบาปที่ทำให้ครอบครัวต้องอับอายไปซะแล้ว

การเขียนที่เคยรักนักหนากลายเป็นความเกลียดชัง
ความฝันที่เคยมีกลายเป็นขยะความทรงจำเท่านั้น
ชีวิตจะมีไปเพื่ออะไร  เราค้นหาแต่เป้าหมาย
เป้าหมายที่เลือนลาง เพราะใจที่ซัดส่ายมืดมน
บางทีแสงสว่างของเราคงมาจากความรู้สึกใส่ใจตัวเอง
เราเริ่มรู้สึกต้องการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดี
ค้นหาว่า ทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ปัญหาได้ยังไง
จนรู้สึกอาการเหมือนโรคซึมเศร้า เลยไปหาหมอที่ศุูนย์ใกล้บ้าน
วันนั้นไปหาหมอตรวจโรคทั่วไปก่อน แต่บอกหมอขอตรวจสุขภาพจิต
หมอก็งง แล้วถามว่าให้หน่วยงานไหน ที่ทำงาน หรือโรงเรียน
เราบอก เปล่า พอดีร้องไห้จนแสบตา
หมอก็อ๋อ  แล้วก็ให้เราทำเรื่องเข้าคลินิกสุขภาพจิต ตึกหน้า
ครั้งแรกก็เจอนักสังคมฯก่อน เป็นผู้หญิงวัยประมาณยี่สิบกว่าๆมั้ง
รู้สึกสบายใจที่จะเล่าเรื่องราวให้ฟัง แต่ตอนนี้จำไม่ได้ว่าเล่าอะไรไปบ้าง
แล้วพอไปเจอจิตแพทย์เค้าก็บอกว่า เราเป็นโรคซึมเศร้านะ ให้กินยาเพื่อนั่นนี่ไป
แล้วมาหาอีกที่อาทิตย์หน้านะไรงี้  หมอว่ายานี้จะทำให้เบื่อาหาร เราอาจจะผอมลงไปอีก
คือช่วงนั้นผอมมากจนเห็นซี่โครงเลยมั้ง  เบื่ออาหาร กินน้อย กินจุบจิบ

กินยาแล้วแรกๆก็รู้สึกว่า ไม่เศร้าแล้ว ไม่คิดวนเวียนอย่างที่หมอเคยว่า
(การคิดวนเวียนเนี่ยควรเอามาใช้ตอนเรียนปรัชญาเท่านั้นละมั้ง)
เริ่มเหมือนจะมีชีวิตที่ดี  แต่ก็ยังไม่รู้สึกปกติ หรือมีความสุขจากใจ
เราจะเบื่ออาหารในตอนเย็น  ปกติเป็นคนกินข้าวเช้ามากกว่ามื้ออื่นสองเท่า
แต่น้ำหนักก็ยังลงไปอีก  จนรู้สึกเหนื่อยเพลียง่าย หน้ามืด ความดันต่ำ
เราหยุดยาไป  เพราะรู้สึกเหมือนแปลกปลอม  กินแต่วิตามินบี(ที่ทำให้ฉี่เหม็น)
หลังจากนั้นเหมือนโชคเข้าข้าง(หรือเปล่านะ) ครูสอนโยคะให้เราลองไปทำงาน
เป็นรีเซปชั่นหน้าสตูดิโอโยคะ  ปกติเรียนโยคะในมหาลัย เลยไม่รู้จักสตูดิโอเท่าไหร่
ก็งงๆ แต่ตกลงทำ  ชอบที่เป็นสตูดิโอเล็กๆ แต่แอบมีชื่อเสียง และครูที่สอนก็ดังด้วย
โชคดีมากที่ไม่ต้องปรับตัวเข้ากับพนักงานอื่น  เพราะไม่มีเพื่อนร่วมงานเลย
มีแต่ผู้จัดการรุ่นน้าที่สวยคมดูฉลาดเท่ดี กับพี่รอบเย็นที่เป็นพนักงานบัญชีไปในตัว
คือเราทำรอบเช้าก็เปิดเจ็ดโมง เสร็จทั้งหมดประมาณสามโมงเย็น กลับบ้าน
เป็นงานที่ดีมาก  เราอยากทำอะไรแบบนี้มานาน  เพราะมีสังคมที่ค่อนข้างดี
ลูกค้าที่เรียกว่านักเรียนโยคะก็หน้าตาแช่มชื่นเป็นมิตร แม้จะต่างชาติต่างภาษา
ไอ้เราที่ไม่ได้เรียนสายภาษาก็พอถูๆไถๆไปได้ และอาศัยความใจดีของลุกค้า
ก็เลยลดความกังวลเรื่องภาษาไปได้ในเวลาไม่ช้า และตั้งใจเรียนภาษามากขึ้นหน่อย
(จำได้ว่าคุยกับฝรั่งครั้งแรก มือสั่น ตัวสั่นเลย /กินชา ตัวสั่น จำได้ ตอนนั้น)
มาคิดอีกทีน่าจะจำผิดนะ ตอนที่หยุดยา น่าจะหลังได้ทำงานที่นั่น
เพราะมีปัญหาหลายอย่าง คือขึ้นบันไดสูง ขาสั่น หน้ามืด วิงเวียน
แล้วก็ได้เรียนโยคะฟรี  เพียงแต่อะไรยังไม่ลงตัว เลยเรียนได้ไม่กี่ครั้งเอง
พอได้เรียนโยคะ เราก็มีความมั่นใจมากพอที่จะไม่ต้องพึ่งยาต้านเศร้า
และอีกอย่างมีที่ไหน พนักงานในสตูดิโอโยคะที่เป็นโรคซึมเศร้าถึงขนาดกินยา
หลังจากนั้นไม่นาน  มันก็เริ่มเบื่อ คิดวนเวียน คิดเรื่องเครื่องจักรทำงาน
รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีชีวิต เป็นแค่เครืองจักรทำงานซ้ำๆไปวันๆ
จนอยากจะถอนชีวิตออก  เป็นเรื่องที่ควรจะบอกจิตแพทย์
เรื่องที่เราคิดฆ่าตัวตาย หลังหยุดยาไม่นาน ไม่ได้นับวันซะด้วย
แต่ก็กลับมาเพราะสำนึกในบุญคุณของครู เจ้านาย และครอบครัว
แล้วก็ลาออกจากงานไปอย่างดื้อๆ ก็น่าเสียดายเหมือนกัน 
แต่ก็รู้สึกแย่ที่หลายๆอย่างมันขัดกัน มีความไม่พอใจในความสบายด้วย

เรากลับไปหาจิตแพทย์  ตีเนียนว่า เราหยุดยา และออกกำลังกาย
เป็นความผิดที่เราโกหก เพียงเพราะรู้สึกอยากท้าทาย
เค้าบอกว่าเราหน้าตาแจ่มใส (ปัดแก้มมาซะแดงละมั้ง)
แล้วก็หยุดยาได้  ถ้ามีอะไรผิดปกติก็ให้กลับมาหาได้
แต่เราก็ไม่อยากรักษาต่อ เพราะไม่ค่อยชอบจิตแพทย์คนนั้น
เราค่อนข้างเรื่องมากอยู่แล้ว  เราไม่ชอบคนที่ดูไม่ละเอียดอ่อน
อย่างน้อยถ้าอ่านความรู้สึกได้ว่า เราเป็นยังไงก็คงดี
หลังจากนั้นประมาณปีหรือครึ่งปี  เราไปหาจิตแพทย์โรงบาล
คราวนี้ไม่ใช่แค่คลินิคแล้ว  แต่ก็เหนื่อยมาก หาทางไปลำบาก
เราเหนื่อยกับการเดินทางในกรุงเทพฯ เป็นคนจำเส้นทางไม่เก่งด้วย
กับจิตแพทย์คนที่สองก็รู้สึกเปิดใจมากกว่า แต่มีปัญหาเรื่องเวลา
และการรักษาที่อาจจะแอดวานซ์ขึ้นไปอีก ถึงขึ้นเรียกพบญาติ
ช่วงนั้นมีป้าเสียชีวิต และไปลอยอังคาร วันที่หมอนัดพอดี
ตอนแรกเราก็จะไปหาหมอ แต่น้าชวนไปให้ได้ เหมือนไปเที่ยว
แล้วพอไป ก็ลืมเอาเบอร์โทรเลื่อนนัด  หลังจากนั้นก็ไม่กล้าไปเลย
ถึงน้าจะรู้ว่าเรามีปัญหาสุขภาพจิต แต่เราก็ไม่กล้ากวนให้เค้าพาไป
น้าเรารู้มาจากอาจารย์ที่ปรึกษาทีสิสในตอนนั้น เพราะเราบอกเค้า
และเค้าก็แนะนำให้เราบอก แต่เราขอให้อาจารย์บอก ซึ่งก็ใจดีบอกแทนเราอีก
เราค่อนข้างรู้สึกผิดกับอาจารย์หลายคน เพราะเค้าใจดีกับเรามาก มาก มาก
ตรงข้ามกับที่เราเคยคิดว่าอาจารย์มหาลัยจะเป็น
แต่เราก็มีปัญหาเกี่ยวกับอาจารย์ด้วย เพราะมีอาจารย์ที่เรากลัว
เป็นอาจารย์ที่กระตุ้นให้เรารู้สึกถึงปมด้อยเรื่องการพูดหน้าชั้น
ถึงจะกลัวและไม่ชอบนิสัยการทำตัวบางอย่างของเรา
แต่เราก็ยอมรับว่า ได้บทเรียนและเป็นบทเรียนที่น่าจะช่วยเราได้มาก
เพียงแต่เราก็ยังหาทางจัดการกับความกลัวนั้นไม่ได้อยุ่ดี
เมื่อก่อนตอนมีเพื่อน เราลดความกลัวลงไปได้
แต่พอคนเดียว มันยิ่งกลัวมากขึ้น แต่ก็ไม่อยากรบกวนคนอื่น
หรือบอกอาจารย์ตรงๆว่า เรากลัวก็ไม่กล้าด้วย ไม่กล้าบอกใครเลย
ทำให้คนอื่นมองว่าที่เรามีปัญหา เพราะอาจารย์ไม่ช่วย
แต่ความจริง อาจารย์แทบทุกคนในภาคช่วยเราได้มาก
แต่เราก็ยังกลัว และไม่มั่นใจในการทำงานไปส่งนั่นอยู่ดี

ก็เลยหวังว่าหากมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
มีความภาคภูมิใจ มีจุดยืนที่ชัดเจน  เราจะกล้าเผชิญหน้า
แล้วปัญหานั้น  เราจะจัดการมันได้
ความกลัวนั้น เด๊่ยวก็หายไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น