หลังจากที่ได้เห็นแมวที่เลี้ยงมาตายไปต่อหน้าต่อตา
หลังจากที่ได้เห็นสภาพศพอันน่าเวทนาของแมวที่รัก
เราก็เหมือนเป็นโรคหวาดระแวง ตื่นตัวกับเสียงกรุบกรับ
มีหลายครั้งที่ออกไปดูกรงแมวตรงข้างบ้าน คืนละหลายรอบ
ได้ยินเสียงอะไรข้างนอก จะต้องออกไปดูให้ได้
สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ให้มีอีกแล้ว จะปกป้องให้ได้
ช่วงที่หมาลอบเข้ามาลากแมวไปจนตาย
มันยังตราตรึง เจ็บปวด เกินจะบรรยาย
เราค่อนข้างหวั่นไหวกับเสียงรบกวนแปลกๆ
ถึงจะเจ็บปวด เศร้าเสียใจมาก แต่ก็ไม่โทษหมา
มันเป็นสัญชาตญาณ คนผิดคือเราต่างหาก
ที่เลี้ยงแมวไว้ในกรง มันคงทรมานจนดิ้นหลุด
เดาว่า มันคงพังกรงออกมาเอง แล้วเจอหมา
พอคิดตามแล้ว เหมือนกำลังถูกฉีกกระชากอก
หลังจากนั้น เราก็เหมือนใช้สัญชาตญาณ
ความกลัวเข้าครอบงำเต็มที่
เราใช้มันจับเสียงผิดปกติ
เราใช้มันเป็นพลังในการต่อสู้เผชิญหน้า
เมื่อมีสิ่งที่ต้องปกป้อง เราไม่กลัวอันตรายที่เกิดกับตัวเอง
แน่นอนว่า มันก็เกิดเรื่องอันตรายกับเรา ที่ใช้แต่สัญชาตญาณ
เพราะได้ยินเสียงในสวน บริเวณกรงแมว
จึงได้วิ่งไม่คิดชีวิต กระโดดข้ามเหล็กกั้น
จนหัวไปกระแทกกับขอบประตูด้านบน
เราส่งเสียงร้องดัง ไม่ได้เพราะเจ็บ แต่เพราะกลัวจะมีตัวอะไรมาทำร้ายแมว
เราส่งเสียงขับไล่ และหวังว่ามีคนได้ยินจะมาช่วยดู ช่วยไล่มันไป
จนกระทั่งเห็นเลือดไหล เราก็ตกใจมาก เลือดไหลจากหัวมากด้วย
ก็เลยร้องไห้ออกมา เป็นการร้องเพื่อตัวเอง เพื่อลดความเจ็บปวดให้ตัวเอง
บางทีการที่หัวกระแทกอย่างแรงในตอนนั้น อาจเป็นผลให้สารเคมีในสมอง..
อาจจะใช่ก็ได้ เพราะเราหัวแตก ก่อนช่วงที่จะมีอาการซึมเศร้า
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของฮอร์โมน
ก่อนที่จะรู้จักโกรธ หรือหึงหวงอย่างรุนแรง ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนรัก..
แต่ก็หมายความว่า เรามีอาการแพนิคมาก่อน มันอาจไม่ใข่..
บางทีคงเพราะการสูญเสียบ่อยครั้ง ความเจ็บปวดยังไม่หมดไป
บางทีคงเพราะเรามีนิสัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเรื่องแบบนี้มาอยู่ก่อนแล้ว
เขียนแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น ก่อนหน้านี้ กลัวมาก กลัวอะไรไม่รู้
กลัวจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น กลัวจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น