เราเคยอ่านเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับศรัทธา
มั้งนะ จำได้แค่ว่า หากให้ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สิ่งที่ควรจะขอมีแค่สองอย่างนี้ คือ
ความกล้าหาญและปัญญา
เราตระหนักว่า มันสมเหตุสมผลดีจริง
ก็เลยลองทำตาม เวลาเข้าวัดไม่เคยขออะไร
นอกจากปัญญาและความกล้าหาญ
บางทีมีขอให้ทำงานสำเร็จ หรืออุปสรรคน้อยลง
บางทีก็ขอให้คนอื่น เช่น ยาย ขอให้ยายมีความสุข
(เพราะถ้ายายสุข เราจะเดือดร้อนน้อยลง)
ขอให้วัดนี้เป็นวัดที่ดี มีคนนับถือเยอะๆ
ขอให้พุทธศาสนายั่งยืนไปนานๆ
เป็นการขอพรที่ดูไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง
ดูมโน ขอแต่เรื่องที่เป็นอุดมคติล้วนๆ
สมกับเป็นเราอีกนั่นแหละ
แต่ก็นะ เมื่อวานเรารู้สึกว่า พรสัมฤทธิ์
เรากล้าที่จะทำดีอย่างไม่อายใคร
ความจริงก็แอบๆอยู่นั่นแหละ
แอบล้างคราบโคลนหน้าห้องน้ำวัด
พอดีแอบเห็นไม้ถูพื้นแบบแปรงขัดมีด้ามยาว
กับมีขวดน้ำแก้วน้ำเปล่าอยู่ใกล้ก็อกน้ำ
ตอนแรกแค่ล้างตรงทางที่ยายจะเดินออกมา
เพราะยายกลัวลื่นไม่ใส่รองเท้าเข้าห้องน้ำ
เราก็แค่รู้สึกไม่อยากให้ยายเหยียบโคลน
ก็เลยลองล้างๆดู พอดีฝนตกติดอยู่หน้าห้องน้ำ
ก็เลยตัดสินใจล้างหน้าห้องน้ำในบริเวณใกล้ๆนั้น
เขยิบไปทีละนิด จนหน้าห้องน้ำทั้งหมดนั่นแหละ
แต่พอฝนปรอยๆ มีคนตรงมาห้องน้ำเยอะๆ ก็หยุดเลย
มีช่วงที่มีคนสองคนเดินมาตอนเรากำลังขัด
มองเราแบบว่า ปลื้ม มันก็รู้สึกดีมากๆเลย
ถึงจะอายๆ และก็เจ็บนิ้วพองจนเป็นแผล
แต่ก็ทำต่อไปจนกระทั่งโคลนหมด
มีแต่คราบรองเท้าตัวเอง เกลี่ยน้ำออกไม่ให้ลื่น
แล้วพอคนเยอะ มันก็ต้องหยุดทำไปด้วย
มันค่อนข้างเหลือเชื่อที่เราจะกล้าทำแบบนั้น
อย่างน้อยเราก็คิดว่า เราไม่มีตังค์มาทำบุญมากมาย
ขอแค่ทำดีตอบแทนก็คงพอได้
เราชอบรอยยิ้มและคำทักทายอบอุ่นของคนต่างจังหวัด
มันค่อนข้างน่าตกใจในตอนแรกที่อยู่ๆมาพูดกับเรา
และเราที่พูดไม่เก่งก็มึนๆเอ๋อๆ ตอบอือออไปแค่นั้น
ถึงยังงั้น ก็รู้สึกดีมากเลย ที่ได้เห็นว่า มีสังคมดีๆอยู่
เราที่เป็นพวกแอนตี้สังคม พอมาเจอแบบนี้ มันยิ่งดีเลย
ที่จริงก็ไม่เชิงแอนตี้สังคมหรอกนะ
เราแค่ปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด
การข้องเกี่ยวกับคนมากๆทำให้เจ็บได้ง่าย
เพราะงั้นเลยหันมาอยู่คนเดียว
นั่งมองนกกา พูดกับหมา คุบกับแมว กับต้นไม้
เราต้องการเป็นที่ยอมรับจากคนอื่น
แต่พอตัวเองตกต่ำก็ยอมรับไม่ได้
และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร
ไม่สุงสิงกับใครที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวดได้
แน่นอนว่า อยู่ตรงไหน ก็เจ็บเหมือนกันนั่นแหละ
ความเจ็บปวดเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่เราก็ยังดื้อดึง หาทางเอาชนะด้วยตัวเองลำพัง
มั่นใจในตัวเองซะเหลือเกิน หัวแข็ง ไม่ยอมใคร
ถึงจะรับฟังคนอื่น ดูเหมือนจะเชื่อ
แต่ก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองให้เลิกเชื่อได้เสมอ
เพราะงั้นถึงล้มเหลวไง ไม่ยอมศรัทธาในอะไรสักอย่าง
คนที่ไม่มีศรัทธาก็เหลวเปล๋ว ว่างเปล่า
พอมีศรัทธา ก็มีแรงผลักดัน มุมานะและมีทิฐิ
อย่างเราในตอนนี้ ศรัทธาในพลังความฝัน
มุ่งมั่นกับการสร้างผลงานให้สำเร็จ
ทิฐิกับความฝัน เคยทำเราล้มมาแล้วครั้งหนึ่ง
มันเจ็บปวดมากที่เห็นตัวเองอ่อนแอได้ขนาดนั้น
แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี สำหรับคนที่ชอบเรียนรู้แบบรีบร้อน
จะไม่ปล.ล่ะ เอาเป็นว่า จบละนะ
เราไม่กล้าขอเรื่องความรักเลยล่ะ อายเทพ หุหุ
เปล่าหรอก แค่เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสำเร็จเท่านั้นแหละ
แต่ถ้ามีใครสักคนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ คงจะดีไม่น้อย
เรียกร้องไปก็เท่านั้นแหละ คนอย่างเรามัน..อาจจะปฏิเสธเขาก็ได้
หมกหมุ่นกับเรื่องนั้น แต่แทบจะไม่ยอมรับเลยนะ
ความรัก มันก็เมนใหญ่ในชีวิตเรานะ
ถึงจะขอเรื่องงานไปก็เถอะ ผู้หญิงเก่งกว่าตัว ใครเขาจะชอบ
แต่ถึงไม่มีคนรัก เราก็สุขในแบบของเรา
เราอยากภูมิใจในตัวเอง ถึงได้ทำ และทำต่อไปจนกว่าจะทำได้
นั่นอาจเรียกว่า ทะเยอทะยาน
แต่เราก็พอใจที่ได้ทำแบบนั้น
ได้มีฝันเป็นของตัวเอง
ได้พยายามไคว่คว้าอะไรสักอย่าง
จนกว่าจะได้มา..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น